SPF และ PA ในโลชั่นกันแดด คืออะไร
SPF ย่อมาจาก Sunburn Protection Factor เป็นค่าที่บอกความสามารถของครีมกันแดดในการป้องกันการไหม้แดงของผิว ซึ่งเกิดจาก รังสียูวีบี (UVB) โดยปกติยิ่งค่าสูงจะยิ่งทําให้เราอยู่กลางแดดได้นานมากขึ้นก่อนจะมีอาการผิวไหม้แดง ตัวอย่างเช่น ปกติเรายืนอยู่กลางแดด 10 นาทีแล้วผิวจะมีอาการไหม้แดง แต่ถ้าทาครีมกันแดด SPF 15 เราจะอยู่กลางแดดได้นานขึ้นเป็น 10×15=150 นาที ก่อนจะมีอาการดังกล่าว ความจําเป็นที่จะต้องเลือก ค่า SPF สูงแค่ไหนก็ขึ้นกับลักษณะการใช้ชีวิตประจําวันของแต่ละคน
ตัวอย่างค่า SPF และ % การปกป้องแสง UV
- ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
- ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
- ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
- ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
การเลือกครีมกันแดดที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ค่า SPF เพียงอย่างเดียว ควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกัน รังสียูวีเอ (UVA) ได้ด้วย เพราะ UVA เป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นของผิว รวมถึงมะเร็งผิวหนังบางชนิด โดยดูจากเครื่องหมาย “PA+” ยิ่งจํานวนเครื่องหมาย + มาก ก็ยิ่งป้องกันมากขึ้น
PA หรือ Protection Grade of UVA คือค่าที่วัดการป้องกันรังสี UVA ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ
- PA+ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA เหมาะสำหรับคนทำงานในร่ม หรืออยู่ในออฟฟิต ในบ้านที่อาจจะไม่ค่อยโดนแสงแดด
- PA++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ปานกลาง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานในกลางแจ้ง แต่ใช้เวลาไม่นานในการอยู่กลางแดด
- PA+++ และ PA++++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานในที่ทำงานในกลางแจ้งทั้งวัน คนที่ไปเที่ยวทะเล หรือที่โดดแสงแดดแรงๆ โดยตรง
ดังนั้นครีมกันแดดที่ดี ควรมีทั้งค่า SPF และค่า PA เพราะถ้ามีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้มากนักสาวๆคนไหนที่จะเลือกซื้อครีมกันแดด ควรตรวจสอบฉลากให้ดีเสียก่อน
ที่มา : https://www.rama.mahidol.ac.th/
บทความเพิ่มเติม https://www.skillsup.in.th/